๒๕ เมษายน ๒๕๕๔

๐๕.๓๐ น. ผู้ปกครองลุกขึ้นจัดเตรียมอาหารเช้า เยาวชนไปพร้อมกันที่ห้องปฏิบัติธรรม พระมหาบุญเสริม ร่วมเป็นพระวิทยากร นำเยาวชนสวดมนต์ทำวัตรเช้า... ป้าหลวย นำฝึกโยคะ ธรรมมะผ่อนคลาย...นัดแนะให้ทุกคนใส่เสื้อสีขาว ๐๗.๓๐ น. รับประทานอาหารมื้อเช้า แล้วจัดเตรียมการเดินทางโดยรถบัสโดยสาร ๒ คัน ออกจากวัดคลองสามวา เดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จุดเริ่มต้นที่พระราชวังบางปะอิน เยาวชนและคณะเข้าไปเยี่ยมชมพระราชวังโดยการแนะนำสถานที่ของมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นน้องนักศึกษาฝึกงาน...



พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนครนั่นเอง เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่สอง พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง พระราชวังบางปะอินกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเมื่อสุนทรภู่ ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีได้ประพันธ์ถึงพระราชวังบางปะอินไว้ในนิราศพระบาท จนกระทั่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้นและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมากมายเพื่อใช้เป็นที่ประทับ รับรองพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงในโอกาสต่าง ๆ ในปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังและยังใช้เป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย แต่ได้เปิดให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยต้องแต่งกายให้สุภาพ

๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหารเที่ยงและซื้อของที่ระลึก ที่ตลาดน้ำอโยธยา

๑๓.๓๐ น. กราบนมัสการพระมงคลบพิตร ชมอุทยานประวัติศาสตร์ อยุธยา ซากปรักหักพังของวัดพระศรีสรรเพ็ชร ปัจจุบันพระศรีสรรเพ็ชรถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ กรุงเทพฯ ตามตำนานกล่าวว่า... หลังจากพระพุทธยอดฟ้าได้ย้ายเมืองหลวงไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างวัดพระแก้วขึ้นเป็นวัดคู่เมืองเหมือนวัดพระศรีสรรเพ็ชรในสมัยอยุธยา ทั้งสองวัดไม่มีพระภิกษุจำพรรษา...พระองค์คิดจะอัญเชิญพระศรีสรรเพ็ชรมาประดิษฐานที่วัดพระแก้ว แต่มีคำทักท้วงเพราะหลายฝ่ายเห็นว่า พระศรีสรรเพ็ชรถูกพม่าเผาเอาเนื้อทองที่หุ้มห่อองค์พระไป ไม่เป็นศิริมงคลกับบ้านเมือง ... จึงเห็นควรให้นำพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้แทน...สังเกตเห็นเยาวชนหลายคนรับรู้ เจ็บปวดกับร่องรอยแห่งอดีตของซากปรักหักพังของพระราชวังกรุงเก่าและวัดพระศรีสรรเพ็ชร... ประเด็นคือ ทำไมเราจึงต้องเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่ข้าศึก...และเมื่อเสียกรุงแก่ข้าศึกแล้ว คนไทยทำอย่างไร จึงสามารถสถาปนาประเทศไทย ให้กลับคืนมาปรากฏเขตแดนบนแผนที่โลกปัจจุบันได้อีก...และที่สำคัญ คนไทยเหล่า คือใคร?.....เหล่านี้คือ สิ่งที่ ควรชี้ประเด็น...ไม่ใช่มุ่งประเด็นไปที่อารมณ์โกรธแค้น ชิงชัง ...

...ก่อนกลับ เพื่อนชาวอยุธยาของป้าตา ได้นำคณะไปที่วัดหน้าพระเมรุ วัดดังกล่าวยังคงสภาพสวยงาม เพราะรอดพ้นจากการถูกเผาทำลายจากพม่า สอบถามได้ความว่า ตอนที่พม่ายกทัพเข้ามาประชิดเมือง พม่าได้มาตั้งฐานทัพตรงที่บริเวณแห่งนี้ วัดหน้าพระเมรุจึงรอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย... เข้าไปกราบพระประธานภายในพระอุโบสถ.. ซึ่งสวยงามมาก... ชี้ประเด็นเปรียบเทียบพระพักตร์ของพระประธาน สองวัด คือพระพุทธชินสีห์กับพระศรีศาสดาของวัดบวรฯกับ พระพักตร์ของพระประธานที่วัดหน้าพระเมรุกับหลวงพ่อมงคลบพิตร... สีหน้า แววตา ลายเส้นที่สะท้อนออกมา ล้วนสื่อนัยยะแห่ง ยุคสมัย เสมือนกับการย้อนมิติแห่งกาลเวลาที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน..

๑๖.๐๐ น. รับประทานอาหารมื้อค่ำ โดยการนำทีมของป้าดา น้องบ่าว อากร อาไพ...คนน้ำขาวที่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ และผู้ปกครอง

๑๙.๐๐ น. ทุกคนไปพร้อมกันที่ห้องปฏิบัติธรรม ไหว้พระ สวดมนต์เสร็จแล้ว พระมหาบุญเสริมได้ทำการอบรม และฝึกสมาธิ

๒๐.๐๐ น. กิจกรรมพิเศษ พระวิทยากรได้นำความรู้และประสบการณ์ในทางธรรม มาร่วมอบรมเยาวชน ผู้ปกครอง เนื้อหาสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง คติธรรมนำชีวิต การเป็นคนดี ความกตัญญูรู้คุณ สุดท้ายจบลงที่ทั้งเยาวชน ผู้ปกครองและทีมงานทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสแห่งรักด้วยน้ำตา.. ต้องยกคุณความดีทั้งหมดให้กับพระมหาบุญเสริม และพระวิทยากรที่เตรียมสื่อมานำเสนอได้อย่างลงตัว ถูกกับจริตของคนฟัง...

๒๒.๐๐ น.นัดหมายและเตรียมการสำหรับพัฒนา ปัด กวาดวัด ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางกลับน้ำขาว